วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2558



ในสังคมยุคปัจจุบันนี้ หลากหลายสาเหตุที่ทำให้คนในยุคนี้เกิดความเครียดเพิ่มมากขึ้น
และผลที่ตามมาคืออาการปวดหัวซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อย
และยังมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดคอ คลื่นไส้อาเจียน อาการเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและการดำรงชีวิต บางคนอาการหนักถึงขั้นไม่สามารถทำงานได้หรืออาจทำให้นอนไม่หลับ ซึมเศร้า และตามมาด้วยโรคอื่นๆ ได้
โดยทั่วไป เมื่อมีอาการปวดหัวเรามักจะกินยาแก้ปวดหัว เช่น พาราเซตามอล แอสไพริน ซึ่งหากกินไม่ต่อเนื่องและในปริมาณที่แพทย์กำหนดก็ไม่อันตราย แต่หลายคนติดยาแก้ปวดโดยหาซื้อมากินเองและกินต่อเนื่องในปริมาณที่สูงเนื่อง จากต้องการให้หายเร็ว ผลข้างเคียงจากยาแก้ปวดหัว เช่น เป็นพิษต่อตับ ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร ง่วงนอน หรืออาจส่งผลต่อหัวใจ

วิธีแก้ปัญหา
วิธีทางธรรมชาติที่ช่วยลดอาการปวดหัวจากความเครียด คือ การกินอาหารที่ดี และมีสารอาหารที่ช่วยให้อาการปวดหัวลดลงซึ่งได้แก่

ปลาทะเล เช่น ปลาทู ปลาแซลมอน ปลากะพง เนื่องจากปลาทะเลมีโปรตีนสูงซึ่งทำหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกายให้คง ที่เมื่อระดับน้ำตาลคงที่อาการปวดหัวก็จะลดลง รวมทั้งมีกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่เป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายเป็นตัวช่วยลดการอักเสบลดอาการปวด



ธัญชาติไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ลูกเดือย ถั่วแดง งา อาหารในกลุ่มนี้จะมีวิตามินในกลุ่มวิตามินบีสูง ซึ่งเป็นตัวช่วยในสารสื่อประสาทของร่างกายให้ทำงานได้ดีช่วยหยุดอาการปวดหัว
ผักสีเขียวเข้ม เช่น ผักขม ผักคะน้า ตำลึง ผักในกลุ่มนี้นอกจากจะมีใยอาหารสูงที่ช่วยให้ขับถ่ายของเสียออกมาได้ดีแล้ว ยังมีสารคลอโรฟิลล์ที่เปรียบเสมือนตัวล้างพิษทำให้ร่างกายสามารถรับออกซิเจน ได้มากขึ้น อาการปวดต่างๆ ก็จะลดลง

ขิง สมุนไพรในแบบไทยๆ สามารถนำมาปรุงอาหารได้ทั้งคาวและหวาน หรือเครื่องดื่ม ขิงจะช่วยให้ผ่อนคลาย เลือดลมไหลเวียนได้ดี

ข้าวโพด เนื่องจากข้าวโพดมีวิตามินบี3 หรือไนอะซินสูง มีส่วนช่วยให้การไหลเวียนเลือดไปสู่สมองได้ดีขึ้น และลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ

กล้วย ผลไม้หาง่ายมีหลากหลายสายพันธุ์มีอยู่ทุกฤดูราคาไม่แพงมาก กล้วยเป็นผลไม้ที่มีสารอาหารที่ดีต่อร่างกายหลายชนิด ทั้งวิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี และที่สำคัญมีแร่ธาตุ โพแทสเซียม ที่ช่วยปรับสมดุลย์แร่ธาตุในร่างกาย จากการศึกษาพบว่ากล้วยช่วยลดความเครียดและทำให้เกิดความสุข
นม เนื่องจากในนมมีวิตามินบี 2 อยู่สูง ซึ่งจากการศึกษาพบว่าเป็นตัวช่วยลดความตึงเครียดของร่างกาย ลดอาการปวดหัว

นอกจากอาหารจะช่วยให้อาการ ปวดหัวดีขึ้นแล้ว การกินอาหารที่มีประโยชน์ยังช่วยลดการเกิดโรคอ้วนและโรคเรื้อรังอื่นๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดเป็นความเครียดเรื้อรังได้ ที่สำคัญควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ร่างกายได้ผ่อนคลาย และพักผ่อนนอนหลับให้ได้ 6-8 ชั่วโมงต่อวัน ก็จะยิ่งเป็นตัวช่วยให้ลดอาการปวดหัวลงได้

อ้างอิงจาก : ดร.ฉัตรภา หัตถโกศล

ขอบคุณภาพจาก : http://thebeutynerds.net/

วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2558

On 20:13 by EForL   No comments
เกิดอะไรขึ้นกับสมองเมื่อเรากินน้ำตาลเข้าไป ?

น้ำตาลเป็นโมเลกุลที่ใช้เรียกอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต และพบได้ในอาหารและเครื่องดื่มหลากหลายประเภท  ไม่เชื่อก็ลองดูฉลากอาหารที่เราซื้อจากซุปเปอร์มาร์เก็ตก็ได้ น้ำตาลจะมีทั้งกลูโคส ฟรักโตส ซูโครส มัลโตส แลคโตส แป้ง ซึ่งเหล่านี้เป็นรูปแบบต่าง ๆ ของน้ำตาลทั้งสิ้น ยังไม่พอ ยังมีคอร์นไซรัป น้ำผลไม้  น้ำตาลปิ๊บ น้ำผึ้ง ฯลฯ 



แล้วเกิดอะไรขึ้นเมื่อเรากินของหวาน การกินของหวานทำให้เราอยากกินเพิ่มขึ้นจริงหรือ?
เมื่อเราตักของหวานเข้าปาก น้ำตาลที่อยู่ในนั้น จะกระตุ้นต่อมรับรสหวานที่ลิ้น ซึ่งจะส่งสัญญาณไปยังก้านสมอง และกระจายต่อไปยังสมองส่วนหน้า รวมไปถึงสมองส่วนเซรีบรัล คอร์เท็ก ซึ่งแต่ละส่วนของเซรีบรัลจะทำงานเกี่ยวกับรสที่แตกต่างกัน ซึ่งในที่นี้ รสหวานจะกระตุ้นสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจที่เรียกว่า brain reward system ให้ส่งกระแสโดพามีน (Dopamine) ไปทั่วสมอง ทำให้เรารู้สึกดี เคลิบเคลิ้ม และอยากกินอีกนั่นเอง  
สมองส่วนที่เกี่ยวกับความพึงพอใจนี้ไม่ได้ถูกกระตุ้นด้วยอาหารอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงการเข้าสังคม การมีเพศสัมพันธ์ การใช้ยา และพฤติกรรมอื่นๆอีกมากมาย
แต่การที่เราไปกระตุ้นสมองส่วนนี้อย่างต่อเนื่อง จะทำให้เกิดผลกระทบตามมาอีกมากมาย เช่น ขาดการควบคุมตัวเอง เกิดอาการอยากยา  การติดอาหารรสหวาน ฯลฯ
กลับไปที่ตอนที่เราตักขนมเข้าปาก ของหวานจะลงไปที่กระเพาะ และเดินทางไปยังลำไส้ ซึ่งมีประสาทรับน้ำตาลเช่นกัน แม้จะไม่มีต่อมรับรส แต่มันก็ส่งสัญญาณไปบอกสมองว่าเราอิ่มแล้ว หรือร่างกายควรผลิตอินซูลินเพิ่ม เพื่อรองรับน้ำตาลที่เพิ่มขึ้น
สมองส่วนที่เกี่ยวกับความพึงพอใจจะส่งสารโดพามีน ซึ่งเป็นกระแสประสาทที่สำคัญออกมา ในสมองของเราจะมีตัวรับโดพามีนกระจายอยู่ทั่วสมอง ทำให้เรารู้สึกพึงพอใจ เช่นเดียวกับการบริโภคแอลกอฮอล์ นิโคติน และเฮโรอีน ซึ่งทำให้สมองส่งสารโดพามีนออกมามากกว่าปกติ ทำให้บางคนรู้สึกอยากยาอย่างต่อเนื่อง หรือเรียกอีกอย่างว่าเสพติดนั่นเอง น้ำตาลก็ทำให้เกิดกระบวนการเช่นเดียวกัน เพียงแต่อาจจะไม่รุนแรงเท่าสารเสพติดต่างๆ



ในมื้ออาหารแต่ละมื้อ ถ้าเรากินอาหารอร่อยๆ มีสารอาหารที่สมดุล ระดับโดพามีนก็พุ่งสูงขึ้น แต่ถ้าคุณกินอาหารจานนั้นซ้ำๆติดต่อกันหลายวัน ระดับโดพามีนจะลดต่ำลงเรื่อยๆ จนทำให้คุณรู้สึกเบื่อ นั่นเป็นเพราะธรรมชาติ สมองเรามีแนวโน้มที่จะสนใจอาหารรสชาติใหม่เป็นพิเศษ นี่เป็นกระบวนการอันชาญฉลาดของร่างกายมนุษย์ที่จะ 
1. หลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นพิษ 
2. ช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เพียงพอ เพราะยิ่งคุณกินอาหารหลากหลายมากเท่าไหร่ คุณก็มีโอกาสได้สารอาหารครบ 5 หมู่มากเท่านั้น  ด้วยเหตุนี้ ร่างกายจึงบังคับให้เรารู้สึกชอบรสชาติใหม่ๆ มากกว่า เราจะอยากกินอะไรใหม่ๆ ตลอด และรู้สึกเบื่อหน่ายเมื่อกินอะไรซ้ำๆ
น้ำตาลนั้นไม่เหมือนกันนะ 
ถ้าอาหารที่คุณกินมีน้ำตาลพอประมาณ กลไกการหลั่งโดพามีน ก็จะเป็นปกติเหมือนที่กล่าวไปแล้ว แต่ถ้าคุณกินอาหารที่ปริมาณน้ำตาลสูง ต่อเนื่องกัน การตอบสนองของโดพามีนกลับไม่ได้ลดลง หรืออีกนัยหนึ่งคือถ้ากินน้ำตาลไปเรื่อยๆ ก็ยังรู้สึกได้รับรางวัลเรื่อยๆ ไม่มีเบื่อจึงทำให้เกิดพฤติกรรมคล้ายสารเสพติดอยู่หน่อยๆ ซึ่งทำให้บางคนติดของหวาน กินได้เรื่อยๆ ไม่มีหยุด
น้ำตาลในท้องตลาดมีอยู่หลายชนิด แต่ทุกชนิดเมื่อกินเข้าไปแล้ว จะจุดชนวนผลกระทบต่อเนื่องในสมอง ไปกระตุ้นต่อมความพอใจเหมือนกัน และหากโดนกระตุ้นมากเกินไป บ่อยเกินไป ก็อาจทำให้สมองก็เหมือนติดสารเสพติด นำไปสู่โรคภัยต่างๆไม่รู้ตัว  
อ้างอิงที่มา: http://ed.ted.com/lessons/how-sugar-affects-the-brain-nicole-avena

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

On 03:31 by EForL   No comments


การดูแลผิวตามแบบฉบับของสาวยุคก่อนนั้น ใช้สิ่งที่สามารถหาได้ง่ายแต่ส่งผลดีเกินขาด ซึ่งสิ่งนั้นได้แก่ ถั่วเหลือง
ถั่วเหลือง นอกจากราคาไม่แพงและยังให้คุณค่าทางอาหารสูง จัดเป็นแหล่งโปรตีนที่ดี มีกรด        อะมิโนครบถ้วน รวมถึงเลซิติน และวิตามินหลายชนิด สามารถป้องกันโรคหัวใจ โรคมะเร็งเต้านม มะเร็งผิวหนัง มะเร็งในเม็ดเลือดขาว ทำให้กระดูกแข็งแรง รักษาโรคโลหิตจางจากการขาดวิตามินB12 ทำให้ประจำเดือนของสตรีเป็นปรกติ ลดคอเรสเตอรอล และลดความดันเลือด

คุณค่าของถั่วเหลืองที่มีต่อผิวพรรณ
- โปรตีนถั่วเหลืองมีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง ที่มาจากการเป็นสิว หรือถูกแสงแดด
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ผิวในการเก็บกักความชุ่มชื้น และคืนความชุ่มชื้นให้ผิวที่แห้งกร้าน
- สารสกัดจากถั่วเหลือง เมื่อนำมารวมกับวิตามินเอ และวิตามินซี จะช่วยปรับสภาพผิวและสีผิวให้เรียบเนียน สดใส และยังทำหน้าที่เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการเกิดริ้วรอย
- ที่สำคัญโปรตีนถั่วเหลืองยังอ่อนละมุน และไม่ระคายเคือง จึงเหมาะกับทุกสภาพผิว โดยเฉพาะกับผิวบอบบางแพ้ง่าย

นอกจากคุณค่าทางโภชนาการดังที่กล่าวมาแล้ว ถั่วเหลืองยังมีสารประกอบของ ไอโซฟลาโวนส์  (Is flavones) ซึ่งคล้ายกับฮอร์โมนเพศหญิงอย่างอ่อน ๆ ทำให้ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม เล็บ และผิวหนัง ให้ดูอ่อนเยาว์ คืนความยืดหยุ่น มีน้ำมีนวล และกระชับขึ้น  เนื่องจากคุณสมบัติที่น่าทึ่งเช่นนี้ ในปัจจุบันจึงได้มีการนำสารสกัดจากถั่วเหลือง มาเป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าและผิวกาย เพื่อให้ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื่น และมีสุขภาพดี

การนำถั่วเหลืองมาดูแลผิวอย่างง่าย ๆ แต่ได้ผลอย่างแน่นอน
- นำถั่วเหลืองแช่น้ำจนนิ่ม 2 ถ้วย
- น้ำผึ้งแท้ 1 ถ้วย
- นมสด 1 ถ้วย
- ดินสอพอง 6-7 เม็ด
วิธีทำ
ปั่นถั่วเหลืองที่แช่น้ำจนนิ่ม รวมกับน้ำผึ้งแท้ นมสด ดินสอพอง ปั่นให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน จนได้เนื้อครีมค่อนข้างข้น (ถ้าข้นเกินไปเติมนมสด หรือเหลวไปเติมถั่วเหลืองได้) จากนั้นนำมาพอกให้ทั่วทั้งผิวหน้า และผิวกาย ทิ้งไว้ประมาณ 20-25 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำอย่างนี้ให้ต่อเนื่องเพียงแค่อาทิตย์เดียวเห็นผล

วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558

On 04:48 by EForL   No comments


เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่ามะเร็งนั้นคือเนื้องอกร้ายชนิดร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับเนื้อเยื่อตามอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์เราได้เสมอ ซึ่งก็ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนได้เลยว่าเซลล์มะเร็งนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน เพียงได้แต่สันนิษฐานกันว่าสาเหตุน่าจะมาจากการกินอาหารที่ไปกระตุ้นและก่อให้เกิดมะเร็งก็ได้ เกิดจากสารเคมีบางอย่างเข้าสู่ร่างกายก็ได้ เกิดจากสิ่งแวดล้อมที่เป็นอยู่และอื่น ๆ อีกสารพัดอย่าง
สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง (ขอให้กำลังใจ)ควรให้ความสำคัญกับอาหารการกินเป็นอย่างมาก ซึ่งอาหารตามปกติธรรมดาที่บริโภคกันอยู่ทุกวันนั้น มักเป็นอาหารที่เข้าไปบำรุงเซลล์ของมะเร็งให้เจริญเติบโตได้ดี เหมือนกับว่าไปสร้างความเจริญเติบโตให้เซลล์มะเร็งลามไปเรื่อย ๆ และสร้างความหายนะแก่ผู้ป่วยเองอย่างมาก
นายแพทย์แมกซ์ เกอร์สัน เขาเป็นชาวยิวที่ปราดเปรื่องในเรื่องการรักษาโรคมะเร็งด้วยอาหาร สามารถทำสำเร็จมาแล้วในอดีต ซึ่งในตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่นั้น ได้สร้างความประหลาดใจให้แก่ชาวโลกเป็นอย่างมากเขาห้ามผู้ป่วยบริโภคเนื้อสัตว์ทั้งหลาย ห้ามบริโภคไขมัน น้ำมันพืชก็ไม่ได้ เพราะเซลล์มะเร็งชอบ ความเค็มทุกอย่างห้ามทั้งหมด เมล็ดถั่วต่างๆ ถั่วเหลือง เต้าหู้ ไม่สมควรบริโภคด้วย แต่เมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนานเป็นปี ๆ แล้วก็พอจะนำมาบริโภคได้พอสมควร แต่ไม่ควรเสี่ยงต่อเรื่องที่เป็นภัยต่อผู้ป่วยโรคมะเร็งทั้งหลาย

 การบริโภคอาหารของผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งนี้จึงต้องมีความอดทนมากทั้งร่างกาย และจิตใจ ความรู้สึกที่เกิดขึ้น ความเครียด และคิดมากต่างๆ เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคมะเร็งได้เสมอ เป็นต้น ว่าจะต้องอดทนต่อการได้กลิ่นอาหารที่ตัวเองชอบบริโภค ไม่ว่าใครจะปรุงอาหารอยู่ หรือใครบางคนกำลังบริโภคอาหารที่ส่งกลิ่นยั่วกิเลสอยู่ นี่เป็นความอดกลั้นที่จะต้องทำจิตใจให้ดี เอาไว้เพื่อต่อสู้โรคมะเร็งร้าย